แน่นอนว่าการพูดโกหกเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่วันที่ 1 เมษายนของทุกปีกลับเป็นวันที่เราจะโกหกเพื่อแกล้งใครก็ได้ เพราะนี่คือธรรมเนียมของวันโกหกโลกหรือวัน April Fool’s Day นั่นเองค่ะ! แต่ทำไมถึงมีธรรมเนียมพูดโกหกกันในวันนี้ การพูดโกหกในวันโกหกแห่งชาติไม่ผิดจริงๆ หรือ ที่มาของวันโกหกคืออะไร แล้วจะมีเทคนิคจับโกหกยังไงให้เรารู้ทันคนที่พูดไม่จริงบ้าง วันนี้ ShopBack Blog รวมทุกเรื่องเกี่ยวกับการโกหกมาให้ทุกคนได้รู้แล้วค่ะ
วันโกหกโลก (April Fool’s Day) คืออะไร ใครเป็นคนเริ่ม?
ถึงทุกวันนี้เราจะเปิดรับเทศกาลแปลกๆ จากโลกตะวันตกกันมากขึ้น แต่ ShopBack Blog เชื่อว่ายังมีเพื่อนๆ อีกหลายคนที่ไม่รู้ว่าวันโกหกโลกหรือ April Fool’s Day คืออะไร มีที่มายังไงและใครเป็นคนริเริ่ม เพราะฉะนั้นเราลองมาทำความรู้จักกับประวัติของวันโกหกโลกกันหน่อยดีกว่า จะได้อินกับการพูดโกหกในวันนี้แบบรู้ที่มายังไงหล่ะ
วันโกหกแห่งชาติหรือเมษาหน้าโง่ เป็นวันที่ทุกคนสามารถโกหกหรือปล่อยข่าวลือต่างๆ ที่ไม่เป็นความจริง โดยมีธรรมเนียมว่าคนที่ถูกหลอกนั้นห้ามแค้นเคืองหรือโกรธคนที่มาโกหกด้วยนะ ส่วนที่มาของการพูดโกหกในวันนี้นั้นมีจุดเริ่มต้นจากการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ สมัยก่อนชาวโรมันและชาวฮินดูเฉลิมฉลองวันปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน
จนกระทั่งปีค.ศ. 1582 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 ได้ทรงเปลี่ยนปฎิทินแบบจูเลียนเก่าให้กลายเป็นแบบใหม่ซึ่งมีความแม่นยำมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ให้เป็นวันที่ 1 มกราคม แต่มีประชาชนบางส่วนที่ยังคงส่งการ์ด บัตรอวยพรให้กันในวันที่ 1 เมษายนอยู่เพราะไม่รู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้ คนที่ไม่รู้เลยถูกล้อเลียนว่าโง่ กลายเป็นธรรมเนียมแกล้งกันในวันโกหกโลกสืบต่อมาจนปัจจุบันนั่นเอง
พูดโกหกในวันที่ 1 เมษายน ไม่ผิดจริงหรือ?
สำหรับชาวตะวันตก การพูดโกหกในวันที่ 1 เมษายนนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันว่าขำๆ เป็นการแกล้งกันสนุกๆ จึงไม่มีใครถือว่าเป็นเรื่องผิด แต่ยอมให้แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้นนะ เพราะถ้าไปพูดโกหกในวันอื่นหล่ะก็คงไม่มีใครสนุกไปกับเราแน่ๆ ส่วนในประเทศไทยของเราแม้จะมีการเปิดรับเอาวัฒนธรรมวันสำคัญและเทศกาลจากตะวันตกเข้ามาเล่นสนุกกันมากขึ้น แต่ก็ยังมีหลายคนที่ถือเรื่องการโกหกและ “ไม่อิน” กับเทศกาลนี้ เพราะฉะนั้นก่อนพูดโกหกกับใครก็ต้องเช็กให้ดีก่อนว่าเราสนิทกันมากพอหรือเปล่า และไม่ควรโกหกเรื่องใหญ่ เรื่องจริงจัง หรือเรื่องที่ล้อเล่นกับความรู้สึกนะคะ ควรสนุกกับการโกหกแบบพอหอมปากหอมพอจะดีกว่า และอย่าไปเล่นโกหกกับคนที่ไม่ชอบวันโกหกแห่งชาติด้วยหล่ะ
ShopBack Tips : อย่างที่เรารู้กันว่า "การโกหก" ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำและเป็นเรื่องไม่ดี แต่บางครั้งเราก็มีความจำเป็นที่ต้องโกหกด้วยเจตนาดี หรือที่เรียกกันว่า White lie ไม่ว่าจะเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนรอบข้าง เพื่อไม่ทำให้คนรอบข้างเป็นห่วง หรือเพื่อให้ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะในชีวิตของคนเราอาจไม่สามารถพูดความจริงออกไปได้ในบางสถานการณ์นั่นเองค่ะ แต่ถ้าเพียงแค่คำพูดทำให้คนสำคัญของเราสบายใจขึ้นไม่ได้ ลองมองหาของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาชอบ มอบให้เพื่อเป็นการปลอบใจและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจดูสิ เพราะการมีของแทนใจบ้างครั้งก็ช่วยสื่อถึงกำลังใจและเจตนาที่ดีของเราได้เหมือนกัน เลือกช้อปของขวัญเพื่อแทนความรู้สึกดีๆ ได้ที่ Shopee และอย่าลืมช้อปผ่าน ShopBack เพื่อรับเงินคืนนะคะ |

10 เทคนิคจับโกหก หลอกเก่งแค่ไหนก็รู้ทัน!
-
ไม่ยอมสบตา
หนึ่งในสัญญาณที่น่าสงสัยของคนโกหกคือการหลบตา ไม่ยอมสบตา สืบเนื่องจากพวกเขามีความรู้สึกผิดเกิดขึ้นอยู่ในใจทำให้ไม่กล้าสู้หน้า ทำเป็นมองไปทางอื่น อีกนัยคือกลัวว่าคุณจะรู้ว่าพวกเขากำลังมีพิรุธ ฉะนั้นหากคุณสงสัยว่าใครโกหก เริ่มต้นจากการจ้องมองเข้าไปนัยน์ตา หากเขารีบหลบ ตั้งข้อสงสัยเลยว่า โกหกชัวร์!
-
ดูกังวลใจ
คนที่โกหกมักจะแสดงสีหน้าท่าทางออกมาโดยไม่รู้ตัว หลายคนเมื่อได้ยินคำถามจะขมวดคิ้ว หรือกรอกตาไปมา กัดริมฝีปาก สิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจแสดงถึงอาการประหม่าที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน นี่เป็นอีกหนึ่งสัญญาณเอาไว้จับพิรุธคนโกหกในวันโกหกโลกที่จะถึงนี้
-
เหงื่อออก เหงื่อซึมตามเนื้อตัว
การแสดงออกทางกายที่เห็นเด่นชัดได้อีกอย่างหนึ่งของคนโกหกคือพวกเขามีอาการเหงื่อซึม เหงื่อออกผิดปกติทั้งที่อากาศอาจจะกำลังเย็นสบาย โดยอาการเหงื่อแตกมาจากความตื่นเต้น กลัวโดนจับได้ ส่งผลให้หัวใจเต้นเร็วและแสดงออกผ่านทางเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้า รู้เลยว่าคนนี้แหละโกหก
ShopBack Tips : อาการเหงื่อออกและเหงื่อซึมตามตัวไม่ได้เกิดขึ้นกับคนที่โกหกเท่านั้น แต่ยังเกิดในเวลาที่เราตื่นเต้นหรือประหม่าได้อีกด้วย เช่น เวลาต้องพูดในที่ประชุมหรือที่สาธารณะ เป็นต้น ซุึ่งการที่ตื่นเต้นจนเหงื่อออกมากนั้นทำให้เราสูญเสียความมั่นใจและเป็นที่มาของกลิ่นตัวได้ เพราะฉะนั้นลองฝึกควบคุมอารมณ์โดยการหายใจลึกๆ เพื่อลดความตื่นเต้น หรือจะลองเข้าคอร์สพัฒนาบุคลิกภาพอย่างจริงจังเพื่อฝึกพูดในที่สาธารณะ ก็จะช่วยลดอาการเหงื่อออก เหงื่อซึมเวลาประหม่าได้ค่ะ และถ้าคุณรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนตื่นเต้นง่าย เหงื่อออกง่ายจนทำให้เสียบุคลิก อย่าลืมพกสเปรย์ดับกลิ่นตัวหรือผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นที่มีคุณสมบัติช่วยลดเหงื่อเอาไว้ด้วย ก็จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มากขึ้น เลือกช้อปผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นและโรลออนได้ที่ Watsons พร้อมรับเงินคืนด้วยการช้อปผ่าน ShopBack |
-
ตอบคำถามวกไปวนมา
อีกหนึ่งวิธีจับพิรุธได้ง่ายๆ หากคุณกำลังสงสัยว่าคนตรงหน้าโกหกหรือไม่ ต้องลองถามคำถามซ้ำๆ ผ่านไปสักพักก็ถามใหม่ หากเขาตอบไม่ตรงหรือมีคำตอบที่ขัดแย้งกัน ไม่สมเหตุสมผล นั่นหมายความว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน ลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้ในวันโกหกโลกนี้กันดู
-
น้ำเสียงเปลี่ยนไป
บางคนที่กำลังโกหกมักจะมีน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป บางคนขึ้นเสียงสูง บางคนหลบเสียงต่ำ นอกจากนี้คนที่โกหกอาจจะพูดเร็วขึ้นก็เป็นได้เช่นกัน ฉะนั้นอยากจับโกหก ต้องใช้หูฟังดีๆ แล้วคุณจะพบว่าเขากำลังพูดความจริงหรือกำลังโกหกอยู่กันแน่
-
มือไม้อยู่ไม่สุข
จากที่เคยอยู่นิ่ง แต่พอโกหกขึ้นมาหลายคนมักมีอาการมือไม้อยู่ไม่สุข ต้องจับนู่นจับนี้ จับผม เกาหัว ลูบผม ดูแล้วไม่นิ่งเลย นี่อาจเป็นอาการของคนที่กำลังโกหก ดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ ลองเช็คดูดีๆ ว่าคนตรงหน้านั้นโกหกหรือไม่
ShopBack Tips : อาการมือไม้อยู่ไม่สุขหรือติดทำพฤติกรรมบางอย่าง เช่น สั่นขา เขย่าขา ดึงผมตัวเอง เป็นพฤติกรรมของคนโกหกก็จริง แต่ก็ยังเป็นอาการของคนที่สมาธิสั้นหรือคนที่ชอบมีอาการประหม่าเวลามือว่างด้วยเช่นกัน หากติดเป็นนิสัยและเผลอทำออกมาในที่สาธารณะหรือที่ทำงานอาจทำให้ดูไม่เป็นมืออาชีพและเสียบุคลิกได้ ใครที่อยากเปลี่ยนตัวเอง อยากฝึกตัวเองให้อยู่นิ่งและไม่มีพฤติกรรมติดตัวเหล่านี้สามารถฝึกเบื้องต้นได้ด้วยการใช้ของอย่างอื่นมาเบี่ยงความสนใจ เช่น ลูกบอลบริหารมือ หรือ Hand spiner ที่ช่วยฝึกสมาธิ เป็นต้น เลือกช้อปตัวช่วยฝึกสมาธิได้ที่ JD Central การันตีสินค้าคุณภาพ ของแท้ 100% แถมช้อปผ่าน ShopBack ยังมีดีลส่วนลดและเงินคืนสุดคุ้ม |
-
โมโหกลบเกลื่อน
อีกหนึ่งพฤติกรรมของคนที่กำลังโกหกคือพวกเขามักจะใช้มุกโมโหกลบเกลื่อน ทำเป็นเสียงดัง โยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้าม ถ้าหากใครตกหลุมพรางก็จะจับผิดพวกเขาไม่ได้และในที่สุดเขาก็จะรอดตัวไปจากการโกหกในครั้งนี้แบบเนียนๆ!
-
คิดนานผิดปกติ
หากคุณกำลังสงสัยว่าใครกำลังโกหกคุณอยู่ ดูจากเวลาที่พวกเขาคิดคำตอบ คนที่ไม่ได้โกหกมักจะตอบคำถามด้วยความรวดเร็ว ถามอะไรตอบได้หมด เพราะพูดจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เหตุการณ์จริง ไม่ต้องใช้เวลาคิด ส่วนคนที่โกหก หลายคนยังไม่เซียนพอ เลยต้องมีการคิดคำตอบ หากว่าพวกเขาใช้เวลาคิดนานผิดปกติอาจแสดงว่าคนตรงหน้าคุณกำลังพูดไม่จริง
-
เปลี่ยนเรื่อง
หากว่าคุณกำลังถามคำถามจับผิดคนโกหกและพวกเขารู้สึกว่าตอบไม่ได้ กำลังเป็นรองอยู่และเกือบจะถูกจับได้แล้ว สิ่งที่พวกเขาทำคือการเปลี่ยนเรื่อง อยู่ดีๆ ก็หันเหความสนใจของคุณไปคุยเรื่องอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลย ขอให้ตั้งข้อสงสัยไว้เลยว่า คนตรงหน้ากำลังโกหกอยู่หรือเปล่านะ?
-
ตอบคำถามด้วยคำถาม
วิธีสุดท้ายในการจับโกหกไว้ใช้ในวันโกหกโลก คือ สังเกตเวลาพวกเขาตอบคำถามดู คนที่โกหกมักจะเลี่ยงการตอบคำถามด้วยการถามกลับ เช่น คุณถามเขาว่า วันนี้ได้ไปเที่ยวมาหรือเปล่า? คนที่ไม่ได้โกหกอาจจะตอบว่า ไม่ได้ไป ส่วนคนโกหกมักจะถามกลับทำนองว่า แล้วคุณว่าผมไปหรือเปล่าล่ะ เป็นต้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกกรณี ต้องดูที่บริบทด้วย
เป็นยังไงบ้างคะกับที่มาของวัน April Fool’s Day และเทคนิคจับโกหกที่ ShopBack Blog นำมาฝาก รับรองว่าเทคนิคทั้ง 10 ข้อนี้จะเอาไปใช้จับผิดในวันโกหกโลกก็ได้ หรือจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันก็รู้ทันคนที่มาโกหกเราแน่นอน ส่วนใครมีการเตรียมพร้อมรับมือกับการแกล้งกันในวันโกหกยังไงบ้าง ก็อย่าลืมมาคอมเมนต์แชร์วิธีการของคุณให้เรารู้กันบ้างนะคะ
ที่มาอ้างอิง : infoplease.com, wikihow.com, verywellmind.com